
จุดที่ควรเปลี่ยนไปเป็น "นิติบุคคล"
สำหรับการเริ่มเข้าสู่วงการทำธุรกิจ คงมีผู้ประกอบการไม่น้อยที่จะเลือกดำเนินงานในรูปแบบบุคคลธรรมดามากกว่าที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และเมื่อทำธุรกิจไปสักพักจนกิจการเริ่มเติบโต ก็อาจจะเกิดคำถามว่าควรจะเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจจากบุคคลธรรมดาไปเป็นนิติบุคคลเมื่อไหร่ดี
นอกจากการพิจารณาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียในด้านการดำเนินงานและความน่าเชื่อถือแล้วของทั้งสองรูปแบบ อยากให้ผู้ประกอบการได้คำนึงถึงผลประโยชน์ที่คุ้มค่าที่กิจการที่ได้รับหากคิดจะจัดตั้งนิติบุคลล ซึ่งประเด็นดังต่อไปนี้อาจะช่วยให้ท่านตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
มีหุ้นส่วนที่ลงทุนร่วมกัน
หากท่านมีความคิดอยากขยายธุรกิจเพิ่มเติม หรือแม้แต่การจัดหาเงินทุนที่ไม่ใช่เกิดจากการกู้ยืม แต่เป็นการมีหุ้นส่วนมาร่วมกันทำงาน การดำเนินธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก เพราะไม่สามารถแสดงสถานะการเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกันได้ รวมถึงการบริหารจัดการภาษีเงินได้ในนามบุคคลใดบุคคลนึงอาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากกว่าการจัดตั้งนิติบุคคล
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ท่านต้องจ่ายเกิน 20%
สำหรับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัททั่วไป จะเสียภาษีอยู่ในอัตราสูงสุดที่ 20% ของกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษี นอกจากนี้ยังมีรายจ่ายทางภาษีหลายรายการที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีมากกว่าการเป็นบุคคลธรรมดา หากธุรกิจในนามบุคคลธรรมดาเริ่มมีฐานภาษีเกิน 20% ( ฐานภาษีตั้งแต่ 25% ขึ้นไป ) การบริหารภาษีเงินได้ด้วยการตั้งนิติบุคคลก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่ง
ยอดขายของกิจการถึงเกณฑ์ที่ต้องจด VAT (ยอดขายเกิน 1.8 ล้านบาท/ปี)
แน่นอนว่าการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเป็นจุดเริ่มต้นในการจัดทำรายงานและจัดทำเอกสารต่าง ๆ เพื่อประกอบการนำส่งภาษีตามที่สรรพากรกำหนด ด้วยเหตุนี้บางกิจการจำเป็นต้องจ้างพนักงานบัญชีหรือสำนักงานบัญชีเพื่อดูแลเรื่องดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งจะเริ่มมีความใกล้เคียงกับการดำเนินงานในรูปแบบนิติบุคคล
.
หากพิจารณาถึงผลประโยชน์ที่กิจการจะได้รับที่ต้องแลกมาด้วยการทำงานที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น การมองเห็นทิศทางของการเติบโตในธุรกิจประกอบกับการเลือกรูปแบบดำเนินงานที่เหมาะสม จะสามารถทำให้ธุรกิจของเราไปถึงเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ได้