
จากวิกฤติโควิด-19 ที่ระบาดตั้งแต่ต้นปี 2020 ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้เศรษฐกิจทรุดตัวอย่างหนัก รวมถึงประเทศไทยที่กำลังเผชิญการระบาดในระลอกที่ 3 หากเป็นเช่นนี้ อาจเกิดคำถามขึ้นว่า แล้วเศรษฐกิจของโลก และของไทยจะฟื้นตัวกลับมาในรูปแบบไหน?
คำถามนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังเผชิญกับภาวะที่ตกต่ำมีหลากหลายแนวคิดและทฤษฎี ส่วนใหญ่จะอ้างอิงการฟื้นตัวตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น L V W หรือ U และล่าสุดตัวอักษรที่พูดถึงกันเป็นวงกว้าง นั่นก็คือ K-Shaped Recovery

หลักสำคัญของ K-Shaped Recovery จะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างไม่สม่ำเสมอ โดยมีการแบ่งส่วนกันระหว่างท่อนบนและท่อนล่าง เหมือนตัวอักษร K อธิบายให้เห็นภาพในเชิงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็คือ แบ่งเป็นสองฝั่ง โดยจะมีฝั่งที่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหรือกลุ่มคนที่มีเงินสดอยู่ในมือค่อนข้างมาก และกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวหรือกลุ่มที่มีเงินทุนอยู่ในมือค่อนข้างน้อยหรือไม่มีเลยและมีแนวโน้มจะแย่ลงเรื่อย ๆ
เพื่อขยายความของ K-Shaped Recovery ทั้งสองฝั่งที่กล่าวมาข้างต้น ฝั่งที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกใน ธุรกิจระดับโลกที่เห็นได้ชัด ขอยกตัวอย่างกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี เช่น Microsoft, Apple, Facebook ที่มีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นในภาวะการระบาดที่ทั้งโลกต้องล็อกดาวน์ และผู้คนส่วนใหญ่ต้องทำงานที่บ้าน ส่วนอีกฝั่งที่ได้รับผลกระทบเชิงลบหรือฟื้นตัวได้สวนทางอย่างเห็นได้ชัด เช่น กลุ่มธุรกิจสายบิน กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว และโรงแรม ซึ่งได้รับผลกระทบจากการที่ไม่สามารถเดินทาง และท่องเที่ยวได้

ในขณะที่สำนักข่าว Bloomberg ได้นำเสนอหัวข้อ ความต่อเนื่องระหว่างผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ(GDP) กับผลตอบแทนตลาดหุ้น(Stock Market) ของประเทศที่ร่ำรวย เช่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน มาเลเซีย พบว่ามีการจัดการโรคได้ดีกว่า มีความสามารถในการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศได้ดีกว่าและมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าประเทศที่มีความมั่งคั่งน้อย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ประเทศกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มที่มีช่องว่างระหว่างตัว K น้อย กล่าวคือความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยมีน้อย ประชาชนค่อนข้างมีความเสมอภาคทางด้านการเงิน ในขณะที่ประเทศที่มีความมั่งคั่งของประเทศที่น้อยกว่านั้น รัฐบาลไม่สามารถอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบให้เพียงพอต่อความคล่องตัวของระบบเศรษฐกิจ เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและประเทศไทยของเรานั้น ส่งผลให้มีช่องว่างระหว่างตัว K ที่มาก กล่าวคือเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกันค่อนข้างมากระหว่างคนจนกับคนรวย

กลับมามองดูที่ประเทศไทยในปัจจุบัน ที่มีความเหลื่อมล้ำค่อนข้างมากระหว่างกลุ่มคนหรือธุรกิจที่มีเงินทุนมากกับกลุ่มคนหรือธุรกิจที่มีเงินทุนน้อย แม้จะมีบางกลุ่มที่เริ่มฟื้นตัวกลับได้ เช่น กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการระบาดของโควิด-19 ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจ Food Delivery ธุรกิจผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ อย่างหน้ากากอนามัย เป็นต้น แต่กลุ่มที่สวนทางคือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางและท่องเที่ยว และที่สำคัญไปกว่านั้น หลายกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวซึ่งจะได้รับผลกระทบอย่างเป็นโดมิโน่ไปตาม ๆ กัน ก็ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มธุรกิจทแยงลงด้วย
เมื่อเข้าใจทฤษฎีตัวอักษร K ที่กำลังส่งสัญญาณถึงความ ไม่สมดุลแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องปรับวิธีการและรับมือโดยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจแก้ไขปัญหาต้องรีบดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้ระยะห่างระหว่างท่อนบนและท่อนล่างของตัว K ห่างกันมากไปกว่านี้ นอกจากจะทำให้คนรวยจะยิ่งรวยขึ้นและคนจนจะยิ่งจนลงแล้วนั้น ถ้าหากเศรษฐกิจกลุ่มด้านล่างล้ม กลุ่มด้านบนก็ไม่สามารถไปต่อได้ เนื่องจากประเทศเรามีโครงสร้างเศรษฐกิจแบบผู้ประกอบการรายย่อย(SMEs)ค่อนข้างมาก ซึ่งอยู่ในสภาวะที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันระหว่าง SMEs และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่